วันที่ 16 มกราคม ของทุกปี เป็นวันราชประชาสมาสัย รพ.สต.บ้านชี ได้จัดกิจกรรมในช่วงวันที่ 11-18 ม.ค.59 ดังนี้
-เผยแพร่ความรู้เรื่องโรคเรื้อน
-ตรวจค้นหาผู้ป่วย หรือผู้สงสัยป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ (ผู้ที่มีอาการผิวหนังเป็นวงด่าง ชา หรือเป็นผื่น ตุ่ม นูน แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน)
สถานการณ์โรคเรื้อน
องค์การ
อนามัยโลก รายงานสถานการณ์โรคเรื้อน เมื่อต้นปี พ.ศ.2551
มีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ขึ้นทะเบียนรักษาทั่วโลก 218,605 คน
สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค
รายงานแนวโน้มสถานการณ์โรคเรื้อนในภาพรวมรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2549-2553)
พบว่าความชุกโรคในระดับประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีอยู่ 41
อำเภอเท่านั้น ใน 23 จังหวัด ที่พบผู้ป่วยใหม่ติดต่อกันทุกปี
รวมทั้งอัตราการตรวจพบผู้ป่วยใหม่มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน
โดยประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ขึ้นทะเบียนรักษาอยู่ประมาณ 700
ราย ส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งกระจายอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
โรคเรื้อน
เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เมื่อเข้าสู่รางกายเชื้อมักจะเข้าไปอาศัยอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง และเส้นประสาทส่วนปลาย ภายในเวลา 3-5
ปี หากผู้ได้รับเชื้อไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคจะมีอาการแสดงทางผิวหนัง เช่น
เป็นวงด่าง สีจาง หรือ สีเข้มกว่าผิวหนังปกติ
ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะลุกลามเป็นผื่น หรือตุ่มกระจายอยู่ทั่วตัว
และเมื่อเกิดอาการอักเสบของเส้นประสาทส่วนปลายจะทำให้กล้ามเนื้อ
ที่ควบคุมด้วยเส้นประสาทเส้นนั้น ฝ่อลีบในระยะท้ายของโรคส่งผลให้มือเท้างอ
ข้อติดแข็ง และพิการได้ ทำให้เป็นที่รังเกียจแก่ผู้พบเห็นโดยเชื้อจะทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย หากไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดความพิการได้ ดังนั้นการเร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยใหม่เร็วที่สุด ก็ยิ่งทำให้ตัดวงจรการแพร่ของโรคเรื้อนและลดอัตราความพิการลงได้มากเท่านั้น
สาเหตุ
โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อไมโครแบคที่เรี่ยม เลปแปร ( Mycobacterium leprare ) การ
ติดต่อของโรคนี้ สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน แหล่งแพร่เชื้อ คือ
ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รักษา
โดยเชื้อโรคเรื้อนจะแพร่ออกมาทางลมหายใจกระจายออกจากโพรงจมูกของผู้ป่วยที่
อยู่ในระยะติดต่อ
เมื่อผู้ป่วยจามทำให้ละอองเสมหะที่มีเชื้อโรคเรื้อนฟุ้งกระจายในอากาศ
บุคคลที่ใกล้ชิดหรืออยู่ในครอบครัวหรือบ้านเดียวกันสูดลมหายใจเข้าไป
ก็จะได้รับละอองเสมหะที่มีเชื้อโรคเรื้อนเข้าสู่ร่างกายได้
ผู้ที่สัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน
และไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคเรื้อนจะมีโอกาสติดโรคได้
แต่คนปกติทั่วไปมากกว่าร้อยละ 95
จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติต่อโรคเรื้อนอยู่แล้ว
อาการ
ผิวหนังเป็นวง
ด่าง ขาวหรือเป็นผื่น ตุ่ม นูน แดง ชาในรอยโรค หยิกไม่เจ็บ ไม่คัน ขนร่วง
ไม่มีเหงื่อออกในรอยโรค หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา
อาจทำให้เกิดความพิการได้
การรักษา
โรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการกินยา
โดยหากเป็นชนิดเชื้อน้อยกินยาติดต่อกันครบ 6 เดือน
ชนิดเชื้อมากกินยาติดต่อกันครบ 2 ปี
การป้องกัน
ประชาชนทั่วไปสามารถห่างไกลและป้องกันโรคเรื้อน ได้ดังนี้
1)
ตรวจผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน โดยการตรวจหารอยโรค อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
2)
ผิวหนัง เป็นวงด่าง หรือมีผื่น ตุ่ม มีอาการชา ไม่คัน รักษานานเกิน 3 เดือน
ไม่หาย
3) ฉีดวัคซีนบีซีจีในเด็กแรกเกิด
ที่มา : http://www.moph.go.th