18 มกราคม 2559

กิจกรรมรณรงค์สัปดาห์ราชประชาสมาสัย


วันที่ 16 มกราคม ของทุกปี เป็นวันราชประชาสมาสัย รพ.สต.บ้านชี ได้จัดกิจกรรมในช่วงวันที่ 11-18 ม.ค.59 ดังนี้
   -เผยแพร่ความรู้เรื่องโรคเรื้อน
   -ตรวจค้นหาผู้ป่วย หรือผู้สงสัยป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ (ผู้ที่มีอาการผิวหนังเป็นวงด่าง ชา หรือเป็นผื่น ตุ่ม นูน แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน)
 สถานการณ์โรคเรื้อน
      องค์การ อนามัยโลก รายงานสถานการณ์โรคเรื้อน เมื่อต้นปี พ.ศ.2551 มีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ขึ้นทะเบียนรักษาทั่วโลก 218,605 คน สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค รายงานแนวโน้มสถานการณ์โรคเรื้อนในภาพรวมรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2549-2553) พบว่าความชุกโรคในระดับประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีอยู่ 41 อำเภอเท่านั้น ใน 23 จังหวัด ที่พบผู้ป่วยใหม่ติดต่อกันทุกปี รวมทั้งอัตราการตรวจพบผู้ป่วยใหม่มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ขึ้นทะเบียนรักษาอยู่ประมาณ 700 ราย ส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งกระจายอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
โรคเรื้อน 

 เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เมื่อเข้าสู่รางกายเชื้อมักจะเข้าไปอาศัยอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง และเส้นประสาทส่วนปลาย ภายในเวลา 3-5 ปี หากผู้ได้รับเชื้อไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคจะมีอาการแสดงทางผิวหนัง  เช่น เป็นวงด่าง สีจาง หรือ สีเข้มกว่าผิวหนังปกติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะลุกลามเป็นผื่น หรือตุ่มกระจายอยู่ทั่วตัว และเมื่อเกิดอาการอักเสบของเส้นประสาทส่วนปลายจะทำให้กล้ามเนื้อ ที่ควบคุมด้วยเส้นประสาทเส้นนั้น ฝ่อลีบในระยะท้ายของโรคส่งผลให้มือเท้างอ ข้อติดแข็ง และพิการได้ ทำให้เป็นที่รังเกียจแก่ผู้พบเห็นโดยเชื้อจะทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย หากไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดความพิการได้  ดังนั้นการเร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยใหม่เร็วที่สุด ก็ยิ่งทำให้ตัดวงจรการแพร่ของโรคเรื้อนและลดอัตราความพิการลงได้มากเท่านั้น
สาเหตุ
โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อไมโครแบคที่เรี่ยม เลปแปร ( Mycobacterium leprare ) การ ติดต่อของโรคนี้ สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน แหล่งแพร่เชื้อ คือ ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รักษา โดยเชื้อโรคเรื้อนจะแพร่ออกมาทางลมหายใจกระจายออกจากโพรงจมูกของผู้ป่วยที่ อยู่ในระยะติดต่อ เมื่อผู้ป่วยจามทำให้ละอองเสมหะที่มีเชื้อโรคเรื้อนฟุ้งกระจายในอากาศ บุคคลที่ใกล้ชิดหรืออยู่ในครอบครัวหรือบ้านเดียวกันสูดลมหายใจเข้าไป ก็จะได้รับละอองเสมหะที่มีเชื้อโรคเรื้อนเข้าสู่ร่างกายได้ ผู้ที่สัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน และไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคเรื้อนจะมีโอกาสติดโรคได้ แต่คนปกติทั่วไปมากกว่าร้อยละ 95 จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติต่อโรคเรื้อนอยู่แล้ว

อาการ 
          ผิวหนังเป็นวง ด่าง ขาวหรือเป็นผื่น ตุ่ม นูน แดง ชาในรอยโรค หยิกไม่เจ็บ ไม่คัน ขนร่วง ไม่มีเหงื่อออกในรอยโรค หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดความพิการได้  
การรักษา
          โรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการกินยา โดยหากเป็นชนิดเชื้อน้อยกินยาติดต่อกันครบ 6 เดือน   ชนิดเชื้อมากกินยาติดต่อกันครบ 2 ปี 
การป้องกัน
           ประชาชนทั่วไปสามารถห่างไกลและป้องกันโรคเรื้อน ได้ดังนี้  
           1) ตรวจผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน โดยการตรวจหารอยโรค อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง  
           2) ผิวหนัง เป็นวงด่าง หรือมีผื่น ตุ่ม มีอาการชา ไม่คัน รักษานานเกิน 3 เดือน ไม่หาย 
           3) ฉีดวัคซีนบีซีจีในเด็กแรกเกิด

ที่มา : http://www.moph.go.th

10 มกราคม 2559

สถานการณ์โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ปี 2558

แผนภูมิแท่งแสดงจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ปี พ.ศ.2558

กราฟแสดงจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จำแนกรายเดือน ปี 2558